ในยุคที่โลกหมุนเร็วและความทรงจำของชุมชนเล็กๆ มักถูกกลืนหายไปกับกาลเวลา บันทึกส่วนบุคคลของคุณศิริ เติมประยูร จึงเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ทางวัฒนธรรมที่มีคุณค่ายิ่งสำหรับชาวกระทุ่มแบน บันทึกฉบับนี้มิใช่เพียงการจดจำเรื่องราวส่วนตัว หากแต่ยังสะท้อนภาพชีวิตความเป็นอยู่ ประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่นในยุคสมัยที่การบันทึกเรื่องราวของชุมชนออกมาเป็นหนังสือในวงกว้างยังเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ
บันทึกนี้มีจำนวน 10 หน้ากระดาษ เขียนขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 2556 หลังจากที่คุณศิริป่วยหนักในช่วงอายุราว 93–94 ปี ลายมือของท่านในช่วงวัยชราสะท้อนถึงความพยายามและความตั้งใจ แม้กล้ามเนื้อมือจะไม่สามารถควบคุมได้เหมือนในวัยหนุ่มที่มีกำลังวังชา ทำให้บันทึกนี้อ่านได้ยาก และบุคคลทั่วไปอาจเข้าใจได้ไม่หมด หากไม่ใช่คนในครอบครัวที่คุ้นเคยกับลายมือและเรื่องราวของท่านโดยเฉพาะ แม้บางส่วนจะไม่สามารถถอดความได้อย่างสมบูรณ์ แต่โดยภาพรวมแล้วก็ยังสามารถทำให้เราเข้าใจภาพรวมของกระทุ่มแบน วิถีชีวิต และบุคคลที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลานั้นได้พอสมควร
ต้องขอขอบคุณคุณเสาวนีย์ วนสุนทรเมธี บุตรสาวของคุณศิริ ที่ตระหนักถึงคุณค่าของบันทึกฉบับนี้ และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการถอดความ พร้อมทั้งอนุญาตให้นำมาเผยแพร่ เพื่อให้บันทึกส่วนบุคคลนี้ได้กลายเป็นหลักฐานสำคัญของประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอำเภอกระทุ่มแบนต่อไป
ก่อนเข้าสู่เนื้อหาบันทึก ผู้อ่านอาจจะได้ประโยชน์มากยิ่งขึ้น หากรู้จักเจ้าของบันทึกผู้เปี่ยมด้วยความทรงจำอันทรงคุณค่าท่านนี้
![]() |
คุณศิริ เติมประยูร |
คุณศิริ เติมประยูร เกิดเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2463 ที่บ้านเรือนไทยริมคลองภาษีเจริญ ในตำบลดอนไก่ดี อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร เป็นบุตรชายคนโตของกำนันเส็ง (ชัย) และนางฮวย เติมประยูร ภายหลังสมรสกับนางนันทา เติมประยูร และมีธิดารวม 7 คน ซึ่งต่างได้รับการศึกษาสูงตามที่ท่านตั้งใจ
ในวัยหนุ่ม ท่ามกลางสถานการณ์สงครามมหาเอเชียบูรพา คุณศิริอาสาเข้ารับราชการทหารเรือ และได้รับเหรียญชัยสมรภูมิพระราชทาน หลังปลดประจำการ ท่านหันมาประกอบอาชีพค้าขายน้ำมัน พร้อมรับตำแหน่งเทศมนตรีเทศบาลตำบลตลาดกระทุ่มแบนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จนเป็นที่นับถือของชาวบ้านในนาม “เทศมนตรีศิริ ผู้ที่ตรงเหมือนไม้บรรทัด”
คุณศิริเป็นแบบอย่างของผู้สูงวัยที่ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ทั้งด้านสุขภาพ การงาน และครอบครัว ท่านมีอายุยืนยาวถึง 102 ปี และจากไปอย่างสงบเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ท่ามกลางความรักและอาลัยจากลูกหลานที่พร้อมใจกันจดจำท่านในฐานะร่มโพธิ์ร่มไทรของครอบครัว
ผมขอนำบันทึกที่คุณน้าเสาวนีย์ถอดความไว้มาเรียบเรียง และเพิ่มคำอธิบายขยายจากน้าเสาวนีย์และผมในบางส่วนเท่าที่พอทราบสำหรับสถานที่และบุคคลบางท่าน เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจมากยิ่งขึ้นครับ
- บันทึกหน้าที่ 1 -
กระทุ่มแบนในอดีต ไม่มีใครรู้จักว่าอยู่ที่ไหน อยู่ในแผนที่ของประเทศไทยตรงไหน ในปี พ.ศ. 2463 ข้าพเจ้าผู้เขียนได้ถือกำเนิดที่บ้านเรือนไทย ยกพื้นสูง ฝาไม้กระดาน หลังคามุงจาก ที่บ้านเลขที่ 186 หมู่ 4 ตำบลดอนไก่ดี อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ตรงสี่แยกกระทุ่มแบน ร้านชัยวัฒน์ ในปัจจุบัน หน้าบ้านเป็นคลองภาษีเจริญ ขวามือเป็นคลองมะเดื่อ (คลองกระทุ่มแบน) เป็นคลองเล็ก ๆ และสามารถพายเรือไปถึงสมุทรสาคร มหาชัย ตรงข้างคลองแยกไปออกประตูน้ำอ่างทอง เรียกกันว่า "แป๊ะกง" ออกแม่น้ำท่าจีน จะมีเรือ (ชื่อ………….) ขนส่งวิ่งจากมหาชัยไปสุดทางที่จังหวัดสุพรรณบุรี จะผ่านแป๊ะกงประมาณ 10.00 - 13.00 น. ทุกวัน เป็นเรือขนาดใหญ่ ชื่อ "สีหมอก" เป็นเรือแดง (สมัยนั้นเรือขนส่งมี 2 ประเภท คือ เรือเขียว และ เรือแดง)
หน้าบ้านคลองภาษีเจริญ ขวามือไปออก คลองบางหลวง ออกสุดทางที่หน้าวัดอรุณราชวราราม ปากคลองตลาด ซ้ายมือไปออกแม่น้ำท่าจีน ไปออกคลองบางยาง ไปสุดทางที่บางนกแขวก แม่น้ำแม่กลอง ต้องผ่านประตูน้ำ 3 ประตู
ประตูน้ำอ่างทอง
ประตูน้ำบางยาง ผ่านอำเภอบ้านแพ้ว ผ่านอำเภอดำเนินสะดวก
ประตูน้ำบางนกแขวก ที่วัดเจริญสุขาราม มีหลวงพ่อโตวัดเจริญฯ ที่ศักดิ์สิทธิ์มาก
- บันทึกหน้าที่ 2 -
อย่าลืมเข้าไปกราบนมัสการ
- บันทึกหน้าที่ 3 -
ที่บ้านตลาดกระทุ่มแบน เจริญรุ่งเรืองเป็นหมู่บ้าน การพาณิชย์มีการค้าขายมากมาย ในอดีตมีโรงเรียนชื่อ โรงเรียนประสานราษฎร์ ครูใหญ่ชื่อ ครูกิมเลี้ยง สุทธิบุตร ครูน้อยชื่อ ครูทองดี อินทรโชติ เป็นโรงเรียนเล็กแบบศาลาวัดธรรมดา ถัดมาเป็นที่ว่าการอำเภอกระทุ่มแบน สุขศาลารักษาคนไข้ บ้านของขุนวิไลรักษา ……….กงวิไล ต่อมาเป็นโรงสี เป็นโรงเล็ก ห้องแถวไม้ชั้นเดียว หลังคามุงจากบ้าง สังกะสีบ้าง เก่าแก่ เพิงฝาปิดเป็นแผ่นไม้ยาวปิดทีละแผ่น เรื่อยมามีร้านหทัยธรรม ต่อมาเป็นบ้าน ป้ายก นิลดำ เศรษฐีใหญ่ของกระทุ่มแบน มารดาของ สุรินทร์-สงวน นิลดำ ต่อมาเป็นบ้านของ นายทองนิ่ม ทองงาม บ้านป้าสุข (หรือบ้านกลาง) จนมาถึงตีนสะพานกระทุ่มแบน เป็นของ นางสำเนียง ศรีสุวรรณ
ตรงนี้เป็นห้องไม้เล็ก ๆ นอกบ้านเป็นที่ว่าง เป็นบ้านของป้า………………… เป็นต้นมะขามใหญ่ขนาด 3 คนโอบ
ตลาดสดตรงร้านทองก็เป็นท้องนา
- บันทึกหน้าที่ 4 -
เดิมธนาคารนครหลวง (ธนาคาร ทีทีบี ในปัจจุบัน) ที่เป็นอาคารพาณิชย์ตอนนี้ เมื่อก่อนเป็นท้องนาหมด ไม่มีบ้านคนสักหลัง ไปจนสุดที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาในปัจจุบัน ไปงานปีวัดหงอนไก่ ก็ต้องเดินมาบนคันนา ข้ามคลองมา………. มีสะพานไม้เล็ก ๆ เดินข้ามมาก็เป็นบ้านของ ย่าหมา เติมประยูร (บริเวณโรงรับจำนำ มารดาของ กำนันชัย เติมประยูร) ริมคลองเป็นบ้านของ ……. เติมประยูร ย่าของ หมวดทวี เติมประยูร ร้าน……. ปลูกบนคันนา ต่อมาก็เป็นร้านขายกระดาน ชื่อร้านกิมฮง นายฮ้ง-นางอุษา สำราญภูติ ถัดมาก็เป็นบ้านสว่างสุขในปัจจุบัน ต่อมาเป็นบ้านของ นางปริก จาละ เถ้าแก่โรงยาฝิ่นในตรอกโรงยา (ที่เป็นร้านกาแฟนายเคี้ยง ก๋วยเตี๋ยวไซงัก) ต่อมาเป็นโรง….ของ……………… เป็นเจ้าของ…………………… อา…… ของข้าพเจ้า เจ้าเก่าของ เตี่ยเฮีย (เจ๊กกัง) แซ่โค้ว ผู้ดูแลศาลหลวงตาทองนั่นเอง ต่อมาก็มีวิกเก่า (บริเวณตรอกบ้านพลเรือตรีชัชวาลย์ ศรีสุวรรณ) นาน ๆ จะมีหนังจากกรุงเทพฯ มาปิดวิกสักทีก็ตอนตรุษจีน ก่อนฉายต้องบรรเลงเพลงหน้าโรงก่อนเพื่อเรียกคนดู หนังที่ฉายก็มีเรื่อง อ้วน ผอม, ชาลี แชปลิน
- บันทึกหน้าที่ 5 -
ตลอดเวลาหนังฉายไป แตรก็เป่าไป เวลาหนังรบกัน แตรก็เป่าบรรเลงเพลงเชิดตลอดเวลา กว่าหนังจะเลิก คนเป่าแตรก็แทบแย่ ตอนนั้นที่ผู้เขียนอายุประมาณ 7 - 8 ขวบ ไม่มีสตางค์ซื้อบัตร ก็ต้องคอยพวกแตรจะเข้าไปบรรเลงในวิก ก็ช่วยเขาขนของตามไปเรื่อย อยู่ข้างหลังถือไม้ตีกลองเข้าไปก็เข้าฟรีแล้ว
นาน ๆ ก็จะมีลิเกจากกรุงเทพฯ มาสมุทรสาครสักที เคยมีคณะลิเกดอกดินมาเปิด คนจะ…. ข้างในวิกแทบแตกเลยทีเดียว
ถัดจากวิกก็เป็นที่เลี้ยงหมูของชาวบ้าน ต่อมาก็โรงครามย้อมผ้าของเตี่ยเจ๊อั้งจ๊อ ย้อมผ้าดำนครชัยศรี เวลาเขาจะรีด รีดด้วยหินก้อนใหญ่ จะมีคนขึ้นไปเหยียบสองข้าง หินโยกไปโยกมาให้ผ้าเรียบ ดูเพลินดี
ต่อมาก็เป็นโรงเรียนไต้ท้ง โรงเรียนจีนสอนภาษาจีน ผู้เขียนก็เคยเป็นศิษย์เก่า เวลาจะเสียค่าเทอม ทุกวันที่ 1 ต้องเอาข้าวสารมาด้วย 2 ทะนาน ศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้มีดังนี้
เจ๊กโซวบั๊ก
เจ๊อั้งจ๊อ เจ้าของโรงคราม
นายศิริ เติมประยูร
และโรงเรียนไต้ท้งก็เปิดเรียนมาอีกหลายรุ่น ต่อมาย้ายมาเปิดที่คลองเตี้ยเฮง (คลองก่อนถึงเทศบาล) ในคลองแป๊ะกง มาทางบ้าน เจ๊กลิ่มฮ้อ เถ้าแก่ใหญ่ในตลาดกระทุ่มแบนก็เป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้
- บันทึกหน้าที่ 6 -
เป็น…………… ต่อมานั้นก็เป็นของตระกูลตะเคียนนุช ไม่มีศาลหลวงตาทอง ลูกหลานเขาก็……..ขึ้นมา……………… เพราะอยู่ตรงหน้าศาลหลวงตาทองในปัจจุบันพอดี ถัดมามีโรงสีไฟขนาดใหญ่ของ นายง่วนปู่ ศิเจริญ ถัดไปเป็นของ………… สมพล จรเขต ………… ไผ่ กันทา (บิดาของคุณสุทิน กันทา อดีตนักกรีฑาทีมชาติที่มีชื่อเสียง) เป็นบ้านตั้งหลายหลัง จนถึงสะพานข้ามคลองวัดดอนไก่ดี
คนจะไปทำบุญวัดดอน ต้องไปโดยเรือจ้าง พายเรือไปเอง หรือเดินไป ไปไหนมาไหนคนใช้เรือจ้างเป็นประจำ
เวลาแป๊ะกงมีงานปีสนุกมาก เรือจ้างแจวกันทั้งคืน เกือบสิบลำทีเดียว ไปอ่างทองก็เรือจ้าง ผู้เขียนเคยจ้างเรือจ้างชื่อ ลุงเริ่ม แจวไปถึงวัดคูหาสวรรค์ อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เนื่องจากไปศึกษาต่อที่นั่นหลายปี เป็นเด็กวัดคูหาสวรรค์ ชื่อโรงเรียนธรรมสุนทรวิทยาทานอนุสรณ์ ครูใหญ่ได้ถ้วยรางวัลครูใหญ่ดีเด่นของประเทศ ต้องไปรับจากกระทรวงธรรมการในสมัยนั้น ชื่อ ครูเจริญ ประเสริฐ
- บันทึกหน้าที่ 7 -
การอาชีพ
ประชาชนส่วนใหญ่ของกระทุ่มแบนทำกสิกรรม โดยมากทำนากันเกือบทุกตำบล ทำสวน……… โดยเฉพาะตำบลท่าไม้ ชาวบ้านทำสวนส้ม หมาก มะพร้าว ในสมัยนั้นไม่มี……………. ปลูกกันตามธรรมชาติ
ส้มโอนครชัยศรีเป็นส้มโอที่ดังที่สุดในสมุทรสาคร ความจริงไม่ได้ปลูกที่นครชัยศรี แต่อยู่ที่สวน ผู้ใหญ่สุ้ย เจริญชาศรี หน้าวัดนางสาวนี่เอง ท่านเป็นเจ้าของสวนส้มที่ใหญ่ที่สุดในตำบลท่าไม้ ท่านเป็นปู่ของ พลตำรวจตรีอนันต์ เจริญชาศรี อดีต ผบก.ภูธร จ.สมุทรสาคร และเป็นปู่ของ ท่านอาจารย์ชัย (พระอาจารย์ธงชัย ชวนปัญโญ สมณศักดิ์พระครูธรรมรัต) เจ้าอาวาสวัดนางสาวในปัจจุบัน (ณ เวลาที่เขียน) เป็นพ่อท่าน กำนันสมุย เจริญชาศรี เพราะบ้านของท่านอยู่ตรงรอยต่อของแม่น้ำที่มาผสมกับน้ำที่มาจากจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นน้ำจืดส่วนที่มาจากแม่น้ำท่าจีน เป็นน้ำเค็ม พอมาผสมกันจึงกลายเป็น……….
ทำให้สวนส้มตรงนั้นมีรสอร่อย จึงมีชื่อไปทั่วประเทศ แต่คนไม่รู้จักกระทุ่มแบน รู้จักแต่นครชัยศรี
- บันทึกหน้าที่ 8 -
การแต่งกาย
เด็กผู้ชาย โดยมากนิยมไว้แกละ เด็กผู้หญิง นิยมไว้จุก คนหนุ่มสาวกางเกงขาก๊วยหรือนุ่งโสร่ง เวลาไปกรุงเทพฯ ก็แต่งแบบนี้ คือนุ่งกางเกงแพรปั๋งลิ้นสีดำ เสื้อนอกสีขาว กระดุม 5 เม็ด ผู้หญิงสาวมักนุ่งโจงกระเบน ผ้าคาดอก มารดาของผู้เขียนก็นุ่งโจงกระเบน ผ้าคาดอกตลอด
เวลาไปทำบุญ มักนุ่งผ้าโจงกระเบน เสื้อแขนกระบอก ผ้าถุงมีแต่น้อยมาก กางเกงไม่ต้องพูดถึง ใครไปใส่เข้าเหมือนปัจจุบัน กลายเป็นตลกไป
- บันทึกหน้าที่ 9 -
การคมนาคม
เดินทางไปไหนมาไหนใช้เรือพาย พระรับบิณฑบาตตอนเช้า เรือพระรับบาตรเหลือเฟือเต็มคลอง นับได้สิบลำ พระเดินน้อยมาก ที่สี่แยกกระทุ่มแบนพ่อค้าแม่ค้าแน่นไปหมด ในแป๊ะกงก็แน่น ในคลองก็แน่น เสียงแม่ค้าร้องกันตลอด “เรือพระมาแล้ว” ก็ค่อย ๆ หลีกทางให้พระผ่าน
ตรงสี่แยก เรือพระเคยล่มไปหลายลำ ในปี พ.ศ. 2489 ผู้เขียนอุปสมบท จำพรรษาที่วัดดอนไก่ดี ก็มาบิณฑบาตโดยเรือพายจากวัดดอน เข้าคลองแป๊ะกง ไปถึงบ้านบิดาคือ นายชัย ประมาณ 7.00 น. ……………. ใส่ประจำ
เรือแทบจมเพราะ……….
เคยมาล่มที่สี่แยก 1 ครั้ง เพราะแม่ค้าแน่นเหลือเกิน เหนื่อยด้วย ผู้ชายมากู้เรือ เสียงร้องเรียก “เรือพระลูกกำนันชัยล่ม ๆๆ” รอบตัวมีอาหารคาวหวานลอยเพียบ อายก็อายเหมือนกัน ………….. กว่าจะถึงวัดได้
- บันทึกหน้าที่ 10 -
บิดามีเรือรับจ้างเป็นเรือถ่อรับบรรทุกข้าวสารจากโรงสีป๋อเช็งฮวด ไปส่งที่ท่าน้ำราชวงศ์ กรุงเทพฯ และข้าวสาร………
หลังลงข้าวสารเสร็จแล้ว พอเลยสะพานเริงบุญ แจวไป รับลมไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องใช้ลูกจ้าง แจวหัว 2 คน บิดาเป็นนายท้าย ถือท้ายเท่านั้น เรือข้าวสาร เพราะสมัยนั้นเรือ……………………..
ไปกรุงเทพฯ ที ก็ต้องไป………………… ขนส่งชื่อเรือ ‘เรือขุนแผน’ ไปกลับวันเดียวกัน
มีชาวนาเอาเกลือขึ้นมาด้วย ดักแลกใส่เรือมาด ติดหลังคามาจึงต้อง…………………..
ต่อมาก็มีเรือแท็กซี่ปล่องเขียว…………………….. อดีต คุณกำพล วัชรพล เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐก็ขับเรือ………………………
โดย ผอ.กำพล ก็ขับเรือด้วยกันกับผู้เขียนเป็นปี โดยขับเรือชื่อ ……… ข้าพเจ้าขับเรือชื่อ ประคองชาติ มาด้วยกัน และ……………… เป็นทหารพร้อมกันในรุ่น ทร.83 ผอ.ไทยรัฐ อยู่เรือหลวงสีชัง ผู้เขียนอยู่เรือหลวงสุโขทัย